วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิธีการดูแลยอร์คเชีย เทอเรีย

วิธีการดูแลยอร์คเชีย เทอเรีย

  




ยอร์คเชียเทอร์เรีย หรือที่เรียกย่อๆว่า ยอร์ค หรือ ยอร์คกี้ นั้นจัดว่าเป็นหนึ่งในสิบสุนัขพันธุ์ยอดนิยมของประเทศสหรัฐอเมริกา (akc 2007)ด้วยเสน่ห์ของสุนัขธุ์เล็ก ขนสลวยสวยเก๋ มีนิสัยร่าเริงคึกคักและแข็งแรง
หลายคนเปรียบว่า เลี้ยงยอร์คเชียร์เทอร์เรีย ก็คล้ายๆเลี้ยงเด็ก เพราะมีลักษณะหลายประการที่ยอร์คเชียเทอร์เรียมีความคล้ายคลึงกับเด็กๆที่ ชอบเล่นซุก
ซนที่อาจส่งเสียงดังรบกวนโสตปรัสาทของเพื่อนบ้านได้แต่สิ่งหนึ่งที่ยอร์คเชียร์เทอร์เ
รียมีก็คือความเฉลียวฉลาดอย่างหาตัวจับยากในบรรดาเพื่อนๆที่อยู่ในกลุ่มเทอร์เรียด้วย
กัน
ดังนั้นบรรดาแฟนพันธุ์แท้ยอร์คเชียร์เทอร์เรีย ทั้งหลายจึงควร รู้ดีก่อนเกี่ยวกับคุณลักษณะพิเศษของหมาตัวเล็กนี้ เพื่อจะได้นำไป เลี้ยงดูยอร์คกี้ให้สุขภาพดีมีสุขตลอดไปดัง 12 วิธีดูแลสุขภาพยอร์คเชียร์เทอร์เรีย ต่อไปนี้
1. ยอร์คกี้ต้องอาบน้ำเสริมสวยเป็นประจำ
หากท่านคิดจะเลี้ยงยอร์คกี้ ก็จะต้องเตรียมเวลาเผื่อไว้อาบน้ำ-เสริมสวยหรือที่เรียกว่า กรูมมิ่ง อย่าง สม่ำ
เสมออย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพราะยอร์คเชียร์เทอร์เรียเป็นสุนัขพันธุ์ขนยาวสลวยที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ

2. แปรงขนทุกวัน ป้องกันสังกะตัง
เราต้องแปรงขนพันธุ์ยอร์คเชียเทอร์เรียทุกวัน มิฉะนั้นขนจะพันกันเป็นก้อนสังกะตังได้ และยังช่วยให้
ยอร์ คกี้ของเรามีขนที่สะอาดอีกด้วย ยกเว้นบริเวณข้างๆลำตัวของยอร์คเชียร์เทอร์เรีย ตัวผู้ที่จะเลอะฉี่ได้จึงจะต้องใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้สะอาดทุกวัน

3. เช็ดขี้ตาวันละหน
ยอร์คเชียร์เทอร์เรียเป็นสุนัขที่มีขี้ตาเยอะ ซึ่งเราอาจจะสังเกตคราบขี้ตาที่ไปสะสมอยู่มุมตา ดังนั้น
เราจะต้องหมั่นคอยดูแลรักษาความสะอาดรอบดวงตาด้วยสำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดครบขี้ตาออกไปด้
วย

4. ตัดขนรอบก้นให้เรียบร้อย
ขน รอบก้นยอร์คเชียร์เทอร์เรีย อาจพันกันเป็นก้อน เนื่องจากเลอะคราบอุจจาระดังนั้นเราจึงควรเล็มขนรอบทวารหนักของยอร์คเชียร์ ให้สั้น เพื่อความสะอาดและอนามัยรอบก้น

5. ลูกยอร์คต้องตัดขนปลายหู
เนื่อง จากยอร์คเชียร์เทอร์เรีย อายุน้อยเราจะต้องตัดขนปลายหูส่วนบน(ลงมาหนึ่งในสามของใบหู) ให้สั้นเพื่อช่วยให้หูตั้งสวยงาม โดยเราควรตัดขนปลายหูนี้จนถึงอายุ 6 เดือน

6.หมั่นดูแลอนามัยช่องหู
เนื่อง จากยอร์คเชียรืเทอร์เรีย เป็นสุนัขที่มีขนหูเยอะ ทำให้ขี้หูสะสมมากผิดปรกติ ดังนั้นเราจึงควรถอนขนหูออกบ้าง และหมั่นเช็ดหูให้สะอาด เพื่อป้องกันโรคหูส่วนนอกอักเสบและโรคไรหู

7.ทำความสะอาดฟันทุกวัน
เช่น เดียวกับสุนัขพันธุ์ toy ส่วนใหญ่ที่จะมีปัญหาหินปูนและเหงือกอักเสบ ดังนั้นเราจึงจะต้องแปลงฟันให้ยอร์คเชียเทอร์เรียวันละครั้ง เพื่อป้องกันฟันผุและสร้างกินปากที่สดชื่นให้ยอร์คกี้ของเรา

8.ระวังอากาศหนาว
เนื่อง จากยอร์คเชียเทอร์เรีย เป็นสุนัขที่มีขนชั้นเดียว ดังนั้นยอร์คเชียร์เทอร์เรีย จึงไม่ทนทานต่ออากาศเย็น ดังนั้น หากต้องเลี้ยงยอร์คเชียร์ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่น ห้องแอร์ หรือฤดูหนาว เราจึงควรหาเสื้อหนาวเก๋ๆใส่ให้น้องยอร์คกี้ด้วย

9.เลี้ยงด้วยอาหารสุนัขคุณภาพสูง
เนื่อง จากยอร์คเชียเทอร์เรียเป็นสุนัขตัวเล็ก ซึ่งกินอาหารเพียงปริมาณน้อย ดังนั้นเราจึงควรลงทุนเลี้ยงยอร์คกี้ด้วยอาหารสุนัขคุณภาพสูง เช่น เกรดพรีเมี่ยม หรือซุปเปอร์พรีเมี่ยม

10.เฝ้าระวังโรคประจำพันธุ์
ยอร์คเชียร์เทอร์เรียนั้นมีโรคประจำพันธุ์อยู่สี่โรคคือ
10.1 โรคลูกสะบ้าเคลื่อน
10.2 โรคเส้นเลือดมาเลี้ยงตับผิดปรกติ
10.3 โรคจอประสาทตาเสื่อม
10.4 โรคหลอดลมตีบ

11.นิสัยไม่เป็นมิตรต่อสัตว์อื่นในบางโอกาส
เนื่อง จากยอร์คเชียร์เทอร์เรียนั้นมีประวัติดั้งเดิมถูกผลิตมาเพื่อเป็นหมานักล่า ดังนั้น สัญชาติญาณนักล่าจึงอาจหลงเหลืออยู่บ้าง จึงทำให้บางทียอร์คเชียเทอร์เรียอาจไม่เป็นมิตรกับสัตว์ชนิดอื่นรวมทั้ง เพื่อนสุนัขด้วยกันด้วย ดังนั้นเราจะต้องฝึกนิสัยยอร์คเชียร์เทอร์เรีย ของเรมให้น่ารักและเป็นกัลยาณมิตรด้วยนะครับ

12.ยอร์คเชียเป็นหมาอายุยืน
หาก ไม่มีปัจจัยโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงมารบกวนแล้ว ยอร์เชียเทอร์เรียจะสามารถอยู่กับเราได้ถึง15ปีเลยทีเดียวซึ่งจะเป็นพวกที่ อายุยืนพันหนึ่ง
เพราะนั้นหมายถึง หากเรารับยอร์คกี้มาเลี้ยงแล้ว เพื่อนสี่ขาตัวนี้จะอยู่กับเราอย่างยาวนานนับสิบกว่าปีเลยทีเดียว

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

ไอศกรีมหม้อไฟยศเส

กว่าจะเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงขนาดทุกวันนี้ เจ้าของร้าน คุณโช เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้หุ้นกับเพื่อนขายไอศกรีมธรรมดา จนตอนหลังแยกมาทำคนเดียว เลยอยากหาอะไรที่เป็นเอกลักษณ์แปลกใหม่ ด้วยความที่เคยทำงานเอเจนซี่โฆษณามาก่อน จึงชอบคิดอะไรที่แตกต่าง พยายามหาอะไรที่ตรงข้ามกับความเย็นของไอศกรีมมาลองใส่ดู สุดท้ายเลยมาลงตัวที่หม้อไฟ แล้วเพิ่มน้ำแข็งแห้ง Food Grade ที่รับรองความปลอดภัย ใส่ลงไปตรงกลาง ให้มีควันขึ้นมาดูสมจริง ดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจจนติดใจใครหลายคนเลยค่ะ
เพียงแค่แพ็กเกจภายนอกอย่างเดียวคงดังไม่ได้ ต้องควบคู่กับความอร่อยของรสชาติไอศกรีมที่เป็นจุดเด่นของร้านนี้ไปด้วยค่ะ กับหลากหลายรสที่หาทานไม่ได้ที่ไหนที่มีกว่า 20-30 รส ที่หลายคนยกนิ้วให้เป็น รสโคตรนม ซึ่งเป็นรสแรกที่พยายามสร้างสรรค์ความต่าง โดยใส่นมเพิ่มเข้าไปเป็นดับเบิ้ล จนได้ความเข้มข้นหวานมันของนมแบบเต็ม ๆ
ต่อมาเป็นบรรดารสที่ผสมแอลกอฮอลล์ก็ฮอตไม่เบา อย่าง รสเบียร์ ที่ไม่หนักจนเกินไป หรือ รสกระทิงแดงวอดก้า ที่เกิดปิ๊งไอเดียจากตอนไปสำรวจตลาดที่เวียดนาม ซึ่งคนที่นั่นนิยมดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมาก เลยลองทำ ปรากฏคนไทยก็ชอบไม่แพ้กันค่ะ หรือเป็นรสที่คุ้นเคย อย่าง รสสตอว์เบอร์รี่ ช็อกโกแลตบราวนี่ ยาคูลท์ปีโป้ หรือ นูเทลล่า ก็ทำออกมาได้ลงตัวเช่นกัน ราคาเพียงลูกละ 25, 28 และ 30 บาทเท่านั้นค่ะ
 ไอศกรีมหม้อไฟเปิดต้อนรับอยู่ถึง 3 สาขาค่ะ ทั้งที่ ซอยยศเส ร้านแรกต้นตำรับ เปิดเวลา 19.00-23.00 น. สาขา Terminal 21 จะมีหม้อไฟไซส์เล็กด้วย สามารถมาทานได้ทั้งวัน ตั้งแต่ 10.00-22.00 น. อยู่บริเวณ Food Court และสาขาล่าสุดที่ ลาดพร้าว 71 เปิดเวลา 10.00-21.00 น. จะเลือกไปทานที่ไหนก็ได้อิ่มหนำแบบเย็น ๆ สนุก ๆ 

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

มาริโมะคืออะไร ใครๆก็ฮิต



มาริโมะ สาหร่ายสีเขียว เทรนด์ฮิตใหม่ที่คนไทยแห่เลี้ยง มาดูวิธีเลี้ยง มาริโมะ การดูแลมาริโมะ สาหร่ายสีเขียว
            สาหร่ายก้อนกลม ๆ แลดูน่ารักกำลังเป็นเทรนด์ใหม่ที่ช่วงนี้คนไทยกำลังฮิตเลี้ยงกันอยู่ ในวันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยจะพาทุกคนไปรู้จักกับเจ้าสาหร่ายที่มีชื่อน่ารัก ๆ คิกขุ ว่า "มาริโมะ" อันเป็นของฝากชื่อดังจากเกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น รู้ไหมว่า คนญี่ปุ่นเขาถือว่าเจ้ามาริโมะนี้เป็นเครื่องรางนำโชคซะด้วย

            มาริโมะ เป็นสาหร่ายน้ำจืดสีเขียวที่มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ อาศัยอยู่ในทะเลสาบอะคัง ที่เกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น สิ่งที่ทำให้มาริโมะเป็นก้อนกลม ๆ นั้นมาจากการหมุนตัวไหลเวียนของน้ำตามธรรมชาติในทะเลสาบ โดยมาริโมะเป็นพืชที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการสังเคราะห์แสงนั่นเอง  
 
            สาหร่ายมาริโมะนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นของล้ำค่าของเกาะฮอกไกโด เพราะเอกลักษณ์ที่แปลกและมีความน่ารักเฉพาะตัว อีกทั้งยังหาได้ไม่กี่ที่ในโลก จึงทำให้คนเกิดความสนใจอยากได้มาครอบครอง สำหรับชื่อ “มาริโมะ” นั้น ได้มาจากนักพฤกษศาสตร์ ทะซึฮิโกะ คาวาคามิ เป็นคนตั้งไว้ และยังมีชื่อน่ารัก ๆ ในภาษาอังกฤษ ว่า “moss ball”  

มาริโมะ





สาหร่ายมาริโมะ เลี้ยงยากไหมนะ ?

            สำหรับวิธีการเลี้ยงเจ้าสาหร่าย "มาริโมะ" เนี่ยไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่คุณมีตู้หรือขวดโหลที่ปลอดสารเคมีและใส่น้ำเปล่าสะอาด ๆ ก็สามารถเลี้ยงได้แล้ว แต่ต้องตรวจเช็กอุณหภูมิให้อยู่ระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส วางไว้ให้อยู่บริเวณริมหน้าต่าง และคอยเปลี่ยนน้ำอย่างน้อยเดือนละครั้งก็พอ

          แล้วราคาแพงหรือเปล่า ?

            สำหรับราคาของสาหร่ายมาริโมะที่ขายอยู่ในเมืองไทย ก็จะขายกันตามขนาดไซส์ โดยมีขนาดตั้งแต่ 1 เซนติเมตร ไปจนถึง 6 เซนติเมตร โดยราคาจะอยู่ที่ตั้งแต่ 120 บาทขึ้นไป  

            เคยได้ยินความเชื่อเกี่ยวกับสาหร่ายมาริโมะไหม ?
 

            คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า "มาริโมะ" จะช่วยให้คนสมหวังในเรื่องของความรักและมีความสุข ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงถือเป็นเครื่องรางนำโชค และมีหลายคนนิยมนำมาริโมะมามอบให้เป็นของฝากกันจ้า


            และด้วยความน่ารักของเจ้าสาหร่ายมาริโมะ ทำให้คนไทยพากันซื้อหาสาหร่ายมาริโมะตามอินเทอร์เน็ตมาเลี้ยงกันเพียบเลย แต่ล่าสุด ทางรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่นได้มีคำสั่งห้ามนำมาริโมะขึ้นมาจากใต้น้ำในทะเลสาบอะคังแล้ว เนื่องจากเกรงว่า มาริโมะจะสูญพันธุ์ จึงเก็บไว้เพื่อการศึกษาเท่านั้น งานนี้ ก็เลยมีพ่อค้าหัวใสแอบเอาตะไคร่น้ำมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ แล้วมาหลอกขายแทน 

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

มะเขือเทศ!!

ประโยชน์ของมะเขือเทศ


สารไลโคฟีน (Lycopene) เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid)
ที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และช่วยในการป้องกันการเสื่อสภาพของเซลล์ในร่างกาย สารไลโคฟีนนี้มีประสิทธิภาพเหนือว่าสารเบต้าเคโรทีน และสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อื่น ๆ ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่มดลูกและปอด ยังพบอีกว่า สารไลโคฟีนนั้น สามารถช่วยลดโอกาสความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ มากถึง 21% อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมในตำรับยา ที่ใช้ป้องกันอันตรายอันเกิดจากการผลิตอนุมูลอิสระที่ผิดปกติ สารไลโคฟีนนี้จะพบมากในมะเขือเทศแดงสด แตงโม และฝรั่งขี้นกที่มีเนื้อสีชมพูอมแดง เป็นต้น
การรับประทานมะเขือเทศเพียงวันละ 1-2 ลูกจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เป็นต้นว่า ช่วยต้านโรคความดันโลหิตสูง บำรุงดวงตา และสายตา บำบัดอาการปัสสาวะขัด บำรุงเหงือกและฟัน ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว เยียวยาโรคเลือดออกตามไรฟัน ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ คุ้มกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย แก้ท้องผูก และบำรุงผิวพรรณ และหากใช้มะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ หรือน้ำคั้นจากผลสดทาหน้า ช่วยทำให้ผิวหน้าตึง มีน้ำมีนวล

การรับประทานมะเขือเทศดิบ จะมีผลร้ายแรงเพราะจะมีสารที่ออกฤทธิ์รุนแรง จัดเป็นสารพิษ Steroidal alkaloid ในมะเขือเทศ คือ a-tomatine ซึ่งได้จากใบและส่วนเหนือดิน ในผลสีเขียวจะมี alkaloid 0.03% ในผลสุกไม่พบ alkaloid คุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของ Steroidal alkaloid คือ ทำปฏิกิริยากับสเตียรอลที่เซลล์ผิวเป็นผลให้เม็ดเลือดแดงแตก ทำให้ผิวหนังและเนื้อบุผิวระคายเคืองอย่างแรง มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส รา และใช้เป็นยาฆ่าแมลงมีคุณสมบัติยับยั้งเอมไซม์โคลีนเอสเตอเรส กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและต่อมาจะทำให้เป็นอัมพาต หากรับประทานในขนาดที่จะทำให้เกิดพิษจะระคายเคืองทางเดินอาหารอย่างแรง

มะเขือเทศเป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มะเขือเทศขนาดปานกลางจะมีปริมาณ
วิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล มะเขือเทศผลหนึ่งจะมีวิตามินเอราว 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน
นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีโปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตูอื่นๆ อีกหลายชนิด
มะเขือเทศมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูง เพราะมะเขือเทศมีวิตามิน P (citrin) ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด

มะเขือเทศยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะจึงสามารถแก้อาการความดันโลหิตสูง มะเขือเทศมีวิตามินเอจึงสามารถรักษาโรคตาได้
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีวิตามินซีมากทำให้สามารถป้องกัน และรักษาโรคลักปิดลักเปิด ช่วยระบบการย่อยและช่วยการขับถ่ายอุจจาระอีกด้วย

ช่วยบำรุงผิวลดริ้วรอย ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ระบบการหมุนเวียนเลือดดีขึ้น และยังสามารถต้านมะเร็งได้ด้วย
มะเขือเทศยังมีสารที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ดังนั้นจึงใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับปากที่เกิดจากเชื้อราได้

สีเปลี่ยนไป!! >> รู้กันบ้างรึเปล่าว่าการว่ายน้ำในสระนั้น สามารถทำให้สีผมของเราที่ไปทำสี หรือไฮไลท์มานั้นเปลี่ยนไปได้ ซี่งสาเหตุมาจากคลอรีนที่อยู่สระจะทำปฏิกิริยากับสีของผม ดังนั้นหลังจากว่ายน้ำเสร็จ นำซอสมะเขือเทศสักประมาณหนึ่งฝ่ามือมาละเลงให้ทั่วศีรษะ ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออก สีผมที่เปลี่ยนไปก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม 
ขัดแล้วก็ขัด!! >> ไม่ต้องกลัวว่าเครื่องประดับเงินชิ้นโปรดของเราจะหมองอีกต่อไป เพราะในซอสมะเขือเทศนั้นมีกรดผลไม้ที่ช่วยในเรื่องการขัดเงา ซึ่งวิธีการก็ง่ายมากเพียงแค่นำซอสมะเขือเทศมาขัดถู หลังจากนั้นก็นำไปล้างด้วยน้ำเปล่า เพียงเท่านี้เครื่องประดับเงินชิ้นโปรดของเราก็จะกลับมาสวยเด้งเหมือนเดิม
เจ็บจี๊ด!! >> ไม่ว่าหกล้ม ถูกมีดบาด แผลจะใหญ่-เล็กขนาดไหน ซอสมะเขือเทศก็สามารถช่วยได้ เพียงนำเจ้าซอสสีแดงเข้มที่แช่ตู้เย็นไว้มาป้ายบนบาดแผล เพียงเท่านี้ความรู้สึกเจ็บก็จะบรรเทาลงไปได้เยอะเลย
  อี๊ กลิ่นเหม็น!! >> ครัวนอกจากจะเป็นพื้นที่ทำอาหารแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมกลิ่นต่างๆ ไว้ มากมายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอาหาร กลิ่นเศษอาหาร กลิ่นคาวปลา ฯลฯ ซึ่งกลิ่นเหล่านี้จะหายไปเป็นปลิดทิ้งเพียงแค่ เปิดฝาซอสมะเขือเทศทิ้วไว้ 1 คืนเท่านั้น ตื่นเช้ามารับรองว่าจะไม่มีกลิ่นใดๆ มากวนใจแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ปีชง2557

ปีชง 2557

ปี 2557 ตรงกับปีมะเมีย (ม้า) มี ปีชง 2557 และการไหว้พระเสริมบารมีของปีนักษัตรทั้ง 12 ราศี ดังต่อไปนี้

ปีชวด (ปีชง 2557) ปีนี้ดวงกระทบถูก อาจมีเคราะห์เลือดตกยางออกจะมีเกณฑ์ประสบอุบัติเหตุจนร่างกายได้รับบาดเจ็บ
ปีมะเมีย (ปีชง 2557) ปีนี้ปีมะเมียจะถูกเอาเปรียบ มีคนมาเบียดเบียนจนทำให้วุ่นวายใจ ปีมะเมียปีนี้หากโชคดีจะประสบโชค 2 ชั้น หากมีเคราะห์จะทวีคูณ 2 เท่า
ปีเถาะ (ปีชง 2557) ปีนี้ปีเถาะจะถูกหมู่มิตรหมางเมิน เกิดผิดใจกับเพื่อนฝูง ทำให้ชีวิตไม่เป็นสุข
ปีระกา (ปีชง 2557) ปีระกาปีนี้คาดหวังในสิ่งใดจะไม่สมดังหวัง และสุขภาพปีนี้จะไม่แข็งแรง
ปีฉลู (ปีชงเล็กน้อย) ปีฉลูปีนี้จะถูกให้ร้ายป้ายสี เกิดความหงุดหงิดใจจนอารมณ์เสียบ่อย ๆ
โดยปีชงจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อเข้าสู่ปีมะเมีย นับตั้งแต่วันตรุษจีน พ.ศ. 2557 ได้แก่
ปีชง คือ คนที่เกิดในปีชวด ได้แก่คนที่เกิดใน พ.ศ.2467 2479 2491 2503 2515 2527 2539 และพ.ศ.2551
ปีร่วมชง คือ คนที่เกิดในปีมะเมีย ปีเถาะ และปีระกา ได้แก่คนที่เกิดใน พ.ศ.2460 2461 2464 2472 2473 2476 2484 2485 2488 2496 2497 2500 2508 2509 2512 2520 2521 2524 2532 2533 2536 2544 2545 และปี พ.ศ.2548

วิธีแก้ชงปี พ.ศ.2557 มีดังนี้
- ตามความเชื่อของคนจีน การไหว้เทพเจ้าไท้ส่วยจะช่วยบรรเทาเคราะห์กรรมได้ โดยนิยมไปไหว้ที่วัดเล่งเน่ยยี่ (หรือวัดมังกรกมลาวาส) และศาลเจ้าจีน
- การทำบุญช่วยชีวิตสัตว์ต่างๆ เช่น การไถ่ชีวิตโค กระบือ ปล่อยนกปล่อยปลา การบริจาคโลหิต ทำบุญโลงศพ ฯลฯ
- การไหว้พระ 9 วัด ในการเสริมสิริมงคลให้แก่ชีวิต
ปีชง 2557
นักษัตรใดควรสักการะพระวัดไหน และ ปีชง 2557 เสริมบารมีดวงชะตาให้เกิดมงคลกับชีวิต
ปีชวด ปีชวดมีเคราะห์จึงควรไปกราบพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ วัดอัปสรสวรรค์ เพื่อให้พระองค์คุ้มครองจากหนักก็จะเป็นเบา
ปีฉลู ปีฉลูปีนี้ชงเล็กน้อย ให้ไปไหว้หลวงพ่อวัดป่าเลไลย์ จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเสริมบารมีดวงชะตา
ปีขาล ปีขาลให้ไปสักการะพระที่วัดอินทาราม จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อเสริมบารมีดวงชะตา
ปีเถาะ ปีนี้ชงเรื่องมิตรให้ไปสักการะหลวงพ่อโต วัดกัลยาณมิตรเพื่อเสริมบารมีดวงชะตา
ปีมะโรง ปีนี้ให้ไปสักการะพระพุทธบาท วัดพระบาทราชวรมหาวิหาร จังหวัดสระบุรี เพื่อเสริมบารมีดวงชะตา
ปีมะเส็ง ปีนี้ให้ไปสักการะพระพุทธธรรมมิศราชโลกธาตุดิลก วัดอรุณราชวรมหาวิหาร เพื่อเสริมบารมีดวงชะตา
ปีมะเมีย ปีนี้เป็นปีชงให้ไปสักการะ พระพุทธเทวปฏิมากร วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม จังหวัดกรุงเทพเพื่อเสริมบารมีดวงชะตา
ปีมะแม ปีนี้ให้ไปสักการะพระสิทธารถ วัดพิชัยญาติ จังหวัดกรุงเทพ เพื่อเสริมบารมีดวงชะตา
ปีวอก ปีนี้ให้ไปสักการะพระพุทธชินสีห์ วัดบวรนิเวศวิหาร จังหวัดกรุงเทพ เพื่อเสริมบารมีดวงชะตา
ปีระกา ปีนี้ให้ไปสักการะหลวงพ่อโสธร วัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อขอบารมีพระท่านขจัดเคราะห์ปีชง
ปีจอ ปีนี้ให้ไปสักการะพระพุทธอังคีรส วัดราชบพิตร จังหวัดกรุงเทพ เพื่อเสริมบารมีดวงชะตา
ปีกุน ปีนี้ให้ไปสักการะพระธรรมวิเชษฐศาสดา วัดประยูรวงศาวาส จังหวัดกรุงเทพ เพื่อเสริม บารมีดวงชะตา
3 ช่วงที่ควรต้องไปสักการะเป็นพิเศษ
15 ธันวาคม 2556 - 15 มกราคม 2557
31 มกราคม 2557 - 14 กุมภาพันธ์ 2557
6 เมษายน 2557 - 15 เมษายน 2557
ทิศเป็นมงคลปี 2557
ทิศเหนือ เป็นทิศอสูรไม่มงคลยิ่งกับเจ้าของบ้านปีชวดและปีมะเมีย
ทิศใต้ ทิศโชคลาภ วาสนา
ทิศเหนือ เป็นทิศแห่งความสำเร็จ
ทิศตะวันตก เป็นทิศอำนาจ ยศศักดิ์

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวญี่ปุ่น

 10 แห่งที่ห้ามพลาด!!!

1. พระราชวังอิมพีเรียล

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น
 
           พระราชวังอิมพีเรียล แต่เดิมมีชื่อว่า พระราชวังเอะโดะ อีกหนึ่งสถานท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่เมืองโตเกียว เพราะเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น เดิมที่นี่เป็นหมู่บ้านประมงเล็กที่ชื่อ เอะโดะ ที่ถูกตั้งเป็นฐานที่มั่น รวมทั้งถูกตั้งเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหาร ต่อมาได้ขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้น จนมีประชากรและพื้นที่เมืองขนาดใหญ่มากขึ้น หลังจากนั้นเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ การล้มล้างการปกครองแบบโชกุนลง จักรพรรดิเมจิจึงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียวในปัจจุบัน ที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และถูกเปลี่ยนให้เป็นพระราชวังในเวลาต่อมา มีชื่อเรียกว่า พระราชวังอิมพิเรียล ในปัจจุบัน

           ซึ่งภายในล้อมรอบด้วยคูเมือง ประตูทางเข้าที่งดงาม และป้อมปราการเก่าแก่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นช่วง ๆ ทางเข้าหลักอยู่ใกล้กับนิจูบะชิ สะพานสองชั้น และจะเปิดให้คนภายนอกเข้าชมตามวาระพิเศษต่าง ๆ สวนตะวันออกฮิงะชิ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอคอยใหญ่ ภายในสวนงดงามไปด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ และจะผลิบานตามแต่ฤดูกาล เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการสถานที่พักผ่อนในอุดมคติ


           2. โตเกียว ทาวเวอร์

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

           โตเกียว ทาวเวอร์ หอคอยสื่อสารขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเพราะใน 1 ปี มีผู้ร่วมเข้าชมถึง 2 ล้าน 5 คน อีกทั้งยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลก เป็นที่ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากหอคอยสูงในปารีส สร้างในสไตล์สถาปัตยกรรมโบราณแบบญี่ปุ่น ทั้งนี้ โตเกียว ทาวเวอร์ จะเปิดทำการตั้งแต่ 09.00-20.00 น. โดยไม่มีวันหยุด ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่มาเยือนที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นเลย

           3. หมู่บ้านประวัติศาสตร์ชิราคาวาโกะ

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

            ชิราคาวาโกะ (Shirakawako) หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ในประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น หลังคามุงด้วยฟางข้าว สร้างขึ้นด้วยมือที่เรียกว่า การสร้างบ้านแบบ กัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri) เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี คำว่า "กัสโช" หมายความว่า พนมมือ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงลักษณะรูปแบบของบ้านที่มีหลังคามุงด้วยฟางข้าวชันถึง 60 องศา คล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน มุงแบบลาดลงคล้ายหน้าจั่ว เพื่อให้ทนทานต่อหิมะและลมในฤดูหนาว ตัวบ้านมีความยาวประมาณ 18 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปู ซึ่งบางแห่งสามารถเข้าพักค้างคืนได้ แถมยังเป็นกิจการที่เปิดภายในครัวเรือนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เห็นการใช้ชีวิตแบบดั่งเดิมของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง


            4. ภูเขาฟูจิ

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

              ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นและอาจกล่าวได้ว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก มีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ และสามารถมองเห็นได้จากโตเกียวและโยโกฮาม่าในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง วิธีที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิที่ง่ายที่สุด คือ นั่งชมจากรถไฟสายโทไกโดที่วิ่งระหว่างเมืองโตเกียวและโอซาก้า ถ้าคุณนั่งชินกันเซ็นจากโตเกียวที่มุ่งหน้าไปยังนาโงย่า เกียวโต และโอซาก้า ช่วงที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิ คือ ช่วงสถานีชิน-ฟูจิ หรือประมาณ 40-45 นาที หลังจากออกจากโตเกียว ซึ่งจะมองเห็นได้ทางด้านขวามือของรถไฟ แต่สำหรับผู้ที่อยากชมภูเขาฟูจิอย่างเต็มอิ่ม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามขอเชิญที่ ทะเลสาบทั้งห้า (Fuji Five Lake or Fujigoko)หรือที่ ฮะโกะเนะ ซึ่งเป็นรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อนและเป็นหนึ่งใน อุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu
               นอกจากนี้ รอบ ๆ ภูเขาฟูจิเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม และเป็น อุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โมโตสุโกะ โชจิโกะ ไซโกะ และมีออนเซนหลายแห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โอชิโนะโกะ ฯลฯ นับได้ว่า ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฏอยู่ในบทกลอนญี่ปุ่นหรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ เรียกว่าภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นก็ว่าได้
               ทั้งนี้ ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมของทุกปี เป็นช่วงที่ภูเขาฟูจิเปิดอย่างเป็นทางการให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปปีน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ yokosojapan.org


              5. ช้อปปิ้งย่านสุดฮิตที่ย่านชินจูกุ ฮาราจูกุ โอไดบะ

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               เมื่อมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การช้อปปิ้ง ซึ่งที่ญี่ปุ่นก็มีแหล่งช้อปที่หลายหลาย แต่ที่ไม่ควรพลาดเลย คือ ย่านชินจุกุ (Shinjuku) แหล่งท่องเที่ยวทันสมัยฝั่งตะวันตกของโตเกียว นับเป็นแหล่งช้อปปิ้งและสถานบันเทิงยามค่ำคืนยอดนิยมที่มีชื่อเสียง โดยยามกลางวันสามารถแวะชมสวนสาธารณะชินจุกุเกียวเอ็นที่เงียบสงบ, ย่านชิบุยะ (Shibuya) เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและวัฒนธรรมสมัยใหม่ของวัยรุ่น ใกล้กับ ศาลเจ้าเมจิ ที่เงียบสงบ ติดต่อกันเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมและสวรรค์ของคนรุ่นใหม่ คือ ย่านฮาราจูกุ และ ย่านโอไดบะ ที่สร้างขึ้นจากการถมทะเลในอ่าวโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เพราะที่นี่มีทั้งแหล่งบันเทิงขนาดใหญ่ ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เป็นสัญลักษณ์ของเรนโบว์ ทาวน์ ที่เหล่าคู่รักวัยรุ่นนิยมขึ้นชิงช้าชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงาม


              6. โอซาก้า

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

                เมืองโอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามของญี่ปุ่น และเป็นศูนย์รวมทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสำหรับญี่ปุ่นตะวันตก ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำโยโดะ มีคลองที่เชื่อมโยงกันไปมาภายใต้ถนนหลายเส้น ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่เมือง และในฐานะที่เป็นเมืองดั้งเดิมจึงมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นต้นแบบของ ละครหุ่นกระบอกบุนระคุ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่ควรพลาดชม อ่าวโอซาก้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความทันสมัยที่สุด และสวนสนุก Universal Studios Japan

               แต่ที่พลาดไม่ได้อย่างยิ่ง คือ ปราสาทโอซาก้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1586 โดย โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ปัจจุบันเป็นป้อมปราการสูงห้าชั้น จำลองแบบจากของเดิม เก็บรักษาศิลปวัตถุโบราณหลายชิ้น ทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโทโยโทมิและโอซาก้าในอดีต สำหรับแหล่งบันเทิงและย่านช้อปปิ้งที่จะต้องแวะ คือ ย่านอุเมะดะ และ ย่านนัมบะ ที่มีสถานีรถไฟและศูนย์การค้าใต้ดินที่ทันสมัยอยู่จำนวนมาก สำหรับนักจับจ่ายซื้อของและนักชิมอาหาร "คุอุดะโอะเระ" ถนนนักชิมที่มีชื่อเสียงสมคำเล่าลือ ที่ว่าโอซาก้าเป็นเมืองสำหรับนักชิมอย่างแท้จริง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ เช่น ยากินิกุ, ซูชิ และทาโกะยากิ


             7. ปราสาทฮิเมะจิ

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่เมืองฮิเมะจิ เป็นปราสาทที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ยังคงรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งได้มีการปิดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2009-2014 แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในและชมกระบวนการซ่อมแซมได้อย่างใกล้ชิด

               ปราสาทฮิเมะจิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ ที่เหลือสุดรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะยังคงความเป็นเอกลักษณ์ สถาปัตยกรรม และยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่าง ๆ ในบริเวณปราสาท ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น

               อีกทั้งรอบ ๆ ปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท และลักษณะที่เด่นชัดของปราสาทนี้ คือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงได้โดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบ ๆ อาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย และจนทุกวันนี้ปราสาทฮิเมะจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีเลย ระบบการป้องกันต่าง ๆ จึงยังไม่เคยถูกใช้งาน


               8. วัดโทไดจิ

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดพุทธที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของเมืองนารา ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าและสถานที่สำคัญของเมืองนาราอีก 7 แห่ง ภายในวัดมี หอไดบุทสึ (Daibutsuden) หรือวิหารไม้ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุทสึหล่อสำริดขนาดใหญ่ สูง 14.98 เมตร น้ำหนักราว 500 ตัน หล่อโดยช่างสมัยเท็มเปียว (729-764)


             9. ฮอกไกโด

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ถือเป็นสวรรค์ของธรรมชาติ สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี มีธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย ทั้งภูเขา ที่ราบสูง แม่น้ำ ทะเลสาบ บ่อน้ำพุร้อน และชายฝั่งทะเล มีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว มีหิมะที่ขาวละเอียดดุจแป้งฝุ่นและสกีรีสอร์ท ที่ดึงดูดนักเล่นสกีจากทั่วโลก ขณะที่ในฤดูใบไม้ผลิ ซากุระจะบานช้ากว่าภูมิภาคอื่นในญี่ปุ่น สามารถชมซากุระได้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่วนฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนเหมือนส่วนอื่น ๆ เพราะมีทุ่งดอกไม้ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และในฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนที่อื่น ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนจนถึงตุลาคม

               โดยมี เมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็นเมืองหลวงของฮอกไกโด ซึ่งในซัปโปโรมี สวนสาธารณะโอโดริ ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาชมงานในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี นอกจากนี้ ยังมีหอนาฬิกาอันเก่าแก่ และที่ว่าการเมืองฮอกไกโด อีกทั้งย่านร้านค้าซุซุกิโนะ ซึ่งเป็นศูนย์การค้า และแหล่งจับจ่ายซื้อของที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้

               เมืองฮะโกะดะเตะ (Hakodate) เป็นเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ ที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของฮอกไกโด ในยามเช้าสามารถเที่ยวตลาดสดขายอาหารทะเลสด ๆ ที่มีให้ชิม ยามสายเที่ยวชมโบสถ์ และป้อมปราการโบราณในเมือง ยามเย็นนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนเขาฮะโกะดะเตะ ชมทิวทัศน์ยามราตรีที่สวยงามได้รอบทิศ ด้านเมืองอะซะฮิกะวะ (Asahikawa) ตั้งอยู่ใจกลางเกาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซัปโปโร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยรถไฟด่วนจากเมืองซัปโปโร และจากเมืองอะซะฮิกะวะไปทางตะวันออกจะมี อุทยานแห่งชาติไดเซะทสุซัง ซึ่งมี บ่อน้ำแร่โซอุนเกียว ให้เพลิดเพลินในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

               นอกจากนี้ ฮอกไกโดยังมีธรรมชาติอันสวยงามที่เป็นชายฝั่งทะเลใกล้ เมืองอะบะชิริ (Abashiri) มีธารน้ำแข็งให้ชมในฤดูหนาว และ คาบสมุทรชิเระโตะโกะ (Shiretoko) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติด้วย อีกทั้งทะเลสาบอะคัง ทะเลสาบมาชูและ ทะเลสาบคุชิโระ และทางตะวันตกของฮอกไกโดมี เมืองโอะตะรุ (Otaru) เป็นเมืองท่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองค้าขาย ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 รอบ ๆ เมืองจะมีคลองโอะตะรุ เป็นโบราณสถาน แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยบุกเบิก มีถนนร้านซูชิที่สดที่สุดในโลกให้ลองลิ้มชิมรส

              10. ชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ณ ฟุระโนะ

10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

               เมืองฟุระโนะ 
ตั้งอยู่ใจกลางฮอกไกโดพอดี เป็นที่รู้จักกันในนามทุ่งดอกไม้ที่มีภูเขาล้อมรอบไว้ ทำให้ที่นี่มีความแตกต่างของอากาศในช่วงฤดูหนาวกับฤดูร้อนราว 30 องศา และที่สำคัญที่นี่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวทั้งในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว ในหน้าร้อนจะมีสวนดอกไม้ที่สวยงาม โดยเฉพาะที่ ฟาร์มโทมิตะ ซึ่งมีการปลูกลาเวนเดอร์ที่ทั้งสวยงามและกว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งดอกไม้อื่น ๆ โดยที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมากในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนกระทั่งกลางเดือนกันยายน ส่วนในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะหนามาก ทำให้กลายเป็นลานสกีที่มีชื่อเสียง และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับลานสกีในช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมีนาคมของทุกปี